เมนู

ในนครตักกสิลาแล้ว. ลำดับนั้น พวกบุตรของเขาปรึกษากันว่า " บิดา
ของพวกเราแก่" แล้วให้เรียกมายังสำนักของตน พูดว่า " พวกฉันจะ
ถวายทานเพื่อประโยชน์แก่บิดา " แล้วนิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้า
เป็นประธาน. วันรุ่งขึ้น พวกเขานิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประธานให้นั่งภายในเรือนแล้ว อังคาสโดยเคารพ, ในเวลาเสร็จภัตกิจ
กราบทูลพระศาสดาว่า " พระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์ ถวายภัตนี้ให้เป็น
ชีวภัต (ภัตเพื่อบุคคลผู้เป็นอยู่) เพื่อบิดา. ขอพระองค์จงทรงทำ
อนุโมทนา แก่บิดาของพวกข้าพระองค์เถิด."

พระศาสดาทรงแสดงธรรม


พระศาสดา ตรัสเรียกบิดาของพวกเขามาแล้ว ตรัสว่า " อุบาสก
ท่านเป็นคนแก่ มีสรีระแก่หง่อมเช่นกับใบไม้เหลือง, เสบียงทางคือกุศล
เพื่อจะไปยังปรโลกของท่านยังไม่มี, ท่านจงทำที่พึ่งแก่ตน, จงเป็นบัณฑิต
อย่าเป็นพาล" ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงทำอนุโมทนา จึงได้ตรัสพระคาถา
เหล่านี้ว่า:-
1. ปณฺฑุปลาโสว ทานิสิ
ยมปุริสาปิ จ ตํ1 อุปฏฺฐิตา
อุยฺโยคมุเข จ ติฏฺฐสิ2
ปาเถยฺยมฺปิ จ เต น วิชฺชติ.
โส กโรหิ ทีปมตฺตโน
ขิปฺปํ วายม ปณฺฑิโต ภว
นิทฺธนฺตมโล อนฺคโณ
ทิพฺพํ อริยภูมิเมหิสิ.

1. อรรถกถา เป็น เต. 2. ปติฏฺฐสิ.

"บัดนี้ ท่านเป็นดุจใบไม้เหลือง, อนึ่ง บุรุษแห่ง
พระยายม (คือความตาย) ปรากฏแก่ท่านแล้ว. ท่าน
ตั้งอยู่ใกล้ปากแห่งความเสื่อม, อนึ่ง แม้เสบียงทาง
ของท่าน ก็ยังไม่มี. ท่านนั้น จงทำที่พึ่งแก่ตน, จงรีบ
พยายาม จงเป็นบัณฑิต ท่านกำจัดมลทินได้แล้ว
ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน จักถึงอริยภูมิอันเป็นทิพย์."

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บาทพระคาถาว่า ปณฺฑุปลาโสว ทานิสิ
ความว่า อุบาสก บัดนี้ท่านได้เป็นเหมือนใบไม้ที่เหลืองอันขาดตกลง
บนแผ่นดิน.
ทูตของพระยายม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า ยมิปุริสา. แต่
คำนี้ พระองค์ตรัสหมายถึงความตายนั่นเอง. อธิบายว่า ความตายปรากฏ
แก่ท่านแล้ว.
บทว่า อุยฺโยคมุเข ความว่า ก็ท่านเป็นผู้ตั้งอยู่แล้วใกล้ปากแห่ง
ความเสื่อม คือใกล้ปากแห่งความไม่เจริญ.
บทว่า ปาเถยฺยํ ความว่า แม้เสบียงทางคือกุศลของท่านผู้จะไปสู่
ปรโลก ก็ยังไม่มี เหมือนเสบียงทางมีข้าวสารเป็นต้น ของบุคคลผู้เตรียม
จะไป ยังไม่มีฉะนั้น.
สองบทว่า โส กโรหิ ความว่า ท่านนั้นจงทำที่พึ่งคือกุศลแก่ตน
เหมือนบุคคลเมื่อเรืออับปางในสมุทร ทำที่พึ่งกล่าวคือเกาะ (แก่ตน)
ฉะนั้น, และท่านเมื่อทำ จึงรีบพยายาม คือจงปรารภความเพียรเร็ว ๆ
จงเป็นบัณฑิต ด้วยกายทำที่พึ่งกล่าวคือกุศลกรรมแก่ตน. ด้วยว่า ผู้ใด
ทำกุศลในเวลาที่ตนยังไม่ถึงปากแห่งความตาย สามารถจะทำได้นั่นแล,